วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

9 สาเหตุที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก

1.ประวัติเคยเป็นโรคปีกมดลูกอักเสบมาก่อน (Pelvic inflammatory disease: PID) ซึ่งการติดเชื้อทำให้เกิด การทำลายสภาพปกติของท่อนำไข่ ซึ่งเป็นที่เดินทางของไข่  ซึ่งปกติภายในท่อนำไข่จะมี เซลล์ ที่คล้ายนิ้วมือเล็ก ๆ (Cilia) คอยโบกให้ตัวอ่อนเคลื่อนตัวเข้าไปสู่โพรงมดลูก เมื่อเซลล์เหล่านี้เสียหายก็ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเคลื่อนที่ไปฝังตัวในโพรงมดลูกได้ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด



2.ภาวะมีบุตรยาก และการกระตุ้นการตกไข่ด้วยฮอร์โมนในปริมาณสูงๆ มีโอกาสเกิดท้องนอกมดลูกได้สูงกว่าคนปกติถึง 4 เท่า นอกจากนี้ในกลุ่มผู้มีบุตรยากมักมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ซึ่งมักทำให้เกิดพังผืดบริเวณท่อนำไข่ ทำให้ท่อนำไข่ผิดรูป และตีบตันได้

3.การใช้ห่วงอนามัยคุมกำเนิด (Intrauterine device: IUD) โอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกประมาณร้อยละ 3-4 โดยห่วงอนามัยชนิดที่มีทองแดงมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกน้อยกว่าห่วงชนิดอื่นๆ เพราะกลไกของห่วงอนามัยสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ภายในโพรงมดลูกเท่านั้น


4.การเคยได้รับสารกลุ่ม diethylstilbestrol(DES) เป็นฮอร์โมนเพศหญิง หรือ เอสโตรเจน (Estrogen)ในระดับสูงๆ ทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงกว่าคนปกติ 3-5 เท่า ปัจจุบันยานี้เลิกใช้ไปแล้ว แต่พบว่าการที่ผู้หญิงบางคน ได้รับยาคุมกำเนิดชนิดหลังร่วมเพศ ซึ่งมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงๆ  ก็มีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้สูงขึ้นเช่นกัน

5.การผ่าตัดบริเวณท่อนำไข่ การขูดมดลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดพังผืดหลังผ่าตัด รบกวนการเดินทางของไข่

6.การสูบบุหรี่ ทำให้เกิดตั้งครรภ์นอกมดลูกมากกว่าคนปกติ 1.6-3.5 เท่า

7.การทำหมัน ทำให้เกิดการท้องนอกมดลูกหลังทำหมันได้ประมาณร้อยละ 6 และมักเป็นในช่วงหลังจาก 2 ปีหลังการทำหมันไปแล้ว

8.ประวัติเคยตั้งครรภ์นอกมดลูกมาก่อน ก็มีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกซ้ำในท้องถัดไป ได้ร้อยละ 10-25

9.อายุ ในกลุ่มที่อายุมาก (35-44 ปี) มีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงกว่ากลุ่มอายุน้อย (15-24 ปี) ถึง 4 เท่า เชื่อว่าอาจเกิดจากการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อท่อนำไข่ ( myoelectrical ) ทำให้การเคลื่อนไหวบีบตัวของท่อนำไข่ทำงานน้อยลง


Read More

ไขข้อข้องใจ! คุณแม่ผ่าคลอด มีลูกได้กี่คน?

คลอด...ฉากสำคัญของกระบวนการเป็นแม่ที่ผู้หญิงต้องเผชิญ หากจะถามเจ้าตัวว่าเธออยากคลอดเองตามธรรมชาติหรือฝืนธรรมชาติ แบบที่ต้องอาศัยคมมีดผ่าตัด เชื่อว่าส่วนใหญ่ต้องการให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของธรรมชาติ แม้ว่าใจหนึ่งอดประหวั่นพรั่นพรึงกับสิ่งที่ต้องเผชิญไม่ได้ อย่างเช่น ความเจ็บปวด หรือร้อยแปดพันเก้าที่คนเขาเล่าว่า... มันเป็นช่วงเวลาวิกฤติเจียนตาย

ในยุคหลังๆ ที่ผ่านมา ผู้หญิงเราจึงหันหลังให้ความเจ็บปวดในการคลอดตามธรรมชาติ หันมาเรียกร้องต้องการให้กำเนิดแบบสบายๆ ไร้ความเจ็บปวดด้วยวิธีผ่าคลอดในอัตราสูงขึ้นทุกทีๆ แล้วเลยเถิดไปถึงผ่าคลอดด้วยต้องการกำหนดฤกษ์เกิดให้ลูก ยิ่งมีการเสนอข้อมูลชวนให้คล้อยตามว่า ผ่าคลอดดีกว่าคลอดเอง อ้างอิงถึงความน่ากลัว เสี่ยงอันตรายต่างๆ นานาของการคลอดเองตามธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็สรรเสริญการคลอดด้วยวิธีผ่าตัดว่าดีกว่า ปลอดภัยกว่า ทั้งต่อแม่และลูกน้อยชวนให้เข้าใจว่า การคลอดเองตามธรรมชาติจะทำให้แม่บอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีผลอย่างมากต่อชีวิตเซ็กซ์หลังคลอด (ถึงกับหย่าร้างกันเพราะช่องคลอดหลวม) ลูกน้อยเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน มีศีรษะเบี้ยว ยาว ปากเบี้ยว กะโหลกร้าว เลือดคั่งในสมอง เกิดความสับสนว่าการคลอดด้วยตัวเองที่ผู้หญิงนับล้านเคยคลอดมาแล้วนั้นมันเสียหายร้ายแรงถึงเพียงนี้หรือ อย่างนี้เปลี่ยนเป็นผ่าตัดคลอดกันทุกคนมิดีกว่าหรือ วันนี้มาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการผ่าไม่ผ่า ที่เราได้ยินได้อ่านมา



โดยปกติแล้วคุณแม่ที่ผ่าคลอดบุตรคุณหมอจะแนะนำให้มีลูกแค่ 2 คนเท่านั้น และเว้นช่วงการมีลูกห่างกัน 2 ปี เพื่อให้คุณแม่ได้พักผ่อนร่างกายและกันเรื่องแผลที่ผ่าจะแยก หรือเรื่องมดลูกจะแตก ดังนั้นหลังผ่าคลอดควรเว้นระยะไปซักนิดถ้าต้องการมีลูกคนต่อไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ค่ะ

แต่ในปัจจุบัน คุณแม่ผ่าคลอดบางคน ผ่าคลอดลูก 3-4 คน ก็มีมาแล้ว หรือ บางคนเว้นช่วงยังไม่ถึงปี ก็ตั้งครรภ์คนต่อไปเลยแบบนี้ก็มีค่ะ คุณแม่ผ่าคลอดจะมีลูก 2 คน 3 คน หรือ 4 คน ก็ได้ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด คุณหมอจะดูข้อจำกัดของคุณแม่ที่เคยผ่าคลอดมาแล้ว ดังนี้


  • อายุของคุณแม่มากเกินไปหรือไม่
  • แผลผ่าคลอดครั้งที่แล้ว หนาบางแค่ไหน
  • มีพังผืดที่ท้องมากเกินไปหรือไม่ ถ้ามีมากไม่สมควรผ่าคลอดอีกค่ะ
  • โรคประจำตัวที่อาจจะแทรกซ้อนรุนแรงขณะที่ตั้งครรภ์

ในกรณีคุณแม่ที่ผ่าคลอดแล้วต้องการมีลูกมากกว่า 2 หรือ 3 คนขึ้นไปคุณหมอจะตรวจร่างกายของคุณแม่อย่างละเอียด เช่น ตรวจภายใน ตรวจมดลูก และโรคแทรกซ้อนต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นคุณแม่ผ่าคลอดที่ต้องการมีลูก 3-4 คนขึ้นไปต้องดูแลร่างกายตัวเองให้มากกว่าปกติและทำตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัดเท่านั้นค่ะ
Read More

ไขข้อข้องใจ ตุ่มบริเวณลานนมคืออะไร? เกี่ยวอะไรกับยาคุมกำเนิด

ในแถวๆ ลานนมนั้น จะมีต่อมไขมันชนิดพิเศษประกอบอยู่ด้วย เรียกว่าต่อม Montgomery glandโดยมันจะทำหน้าที่ในการสร้างสารที่มีกลิ่นแบบเดียวกับกลิ่นของน้ำคร่ำ เพื่อให้ทารกแรกเกิดได้กลิ่น แล้วตามกลิ่นที่คุ้นเคยมาจนเจอหัวนมได้ในที่สุด เป็นเสมือนแผนที่นำทางของทารกนั่นเอง ซึ่งสารตัวนี้จะช่วยให้ทารกเรียนรู้ได้ว่าคนไหนเป็นแม่ และเริ่มต้นดูดนมแม่ได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้เกิดสิ่งที่เราเรียกว่า ทารกเรียนรู้การดูดนมได้ด้วยตัวเอง (self-attachment) หรือ ที่เรียกกันว่า breast crawl 


ตุ่มเหล่านี้จะมีประมาณ 4 – 28 ตุ่ม อาจเพิ่มหรือขยายขนาดได้ ในกรณีได้ฮอร์โมนเพิ่ม เช่น การทานยาคุมกำเนิด หรือช่วงมีประจำเดือน

อาการตุ่มขึ้นแบบนี้ ถือว่าเป็นปกติ ไม่มีอันตราย และไม่เกี่ยวกับมะเร็ง นะครับ แต่หากตุ่มไขมันนี้เกิดการอักเสบ ก็จะทำให้มีอาการปวด บวม แดง เจ็บบริเวณนั้นได้ ก็ไม่มีอันตรายอะไร รักษาเหมือนเป็นผิวหนังอักเสบ ครับ

โดยหากนำทารกแรกเกิดที่ยังไม่เช็ดตัวหรืออาบน้ำ ได้เลียมือตัวเองเพื่อลิ้มชิมรสและได้กลิ่นของน้ำคร่ำ ทารกจะพยายามเคลื่อนที่ตามหากลิ่นที่หลั่งจากต่อม Montgomery ประกอบกับการที่สายตาของทารกแรกเกิดจะมีความสนใจเป็นพิเศษต่อสิ่งที่เป็นวงกลมและเป็นสีดำขาวตัดกัน ซึ่งนั่นก็คือ หัวนมคุณแม่นั่นเอง ในที่สุดทารกแรกเกิดก็จะหาหัวนมคุณแม่ได้เจอ และเริ่มต้นดูดนมได้เอง โดยที่เราไม่ต้องช่วยเลย

สารตัวนี้ช่วยให้ทารกมีความต้องการอยากดูด พฤติกรรมนี้จำเพาะเจาะจงสำหรับสัตว์แต่ละเผ่าพันธุ์ นั่นคือ ทารกคนจะไม่ตอบสนองต่อกลิ่นของแม่วัว

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา เพื่อสนับสนุนให้ลูกของสัตว์แต่ละชนิดได้ดูดนมแม่ของตัวเองตามสัญชาตญาณ แต่ทว่า กฏเกณฑ์บางอย่างที่คนสร้างขึ้นกลับทำให้สิ่งเหล่านี้สูญหายไป เช่น การแยกแม่ลูกทันทีที่คลอด การนำลูกไปอาบน้ำทำความสะอาดก่อนที่จะให้ลูกได้เริ่มต้นดูดนมแม่ทันที การเสริมนมผงให้ทารกโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เหล่านี้จึงทำให้ การให้นมแม่กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ซับซ้อน และล้มเหลว


ที่มา - นพ. หะสัน มูหาหมัด และ Lakeshore Medical Clinic's
Read More

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

6 ข้อควรปฏิบัติกับลูก ก่อนที่จะ “สายเกินไป”

ลูกไม่ได้เป็นเด็กเล็ก ตลอดไป
บางครั้ง เราเล่นกับลูก โดยเฉพาะช่วงที่เขายังเล็ก
ทุกคนจะทราบดีว่า เราแทบทำอะไรไม่ได้เลย เพราะต้องโดนฉุดมือไปเล่นด้วยตลอด ... บางครั้งก็ ดูเหมือนจะเสียเวลา
.

แต่ช่วงเวลา 1000วันแรก หรือ0-3ขวบ
ยิ่งเป็นช่วงที่เขา ต้องการ ความรัก และ การป้อน การเอาใจใส่ จากเราอย่างหนัก .. พัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปรายวัน รายเดือน
.
.
ถ้าแบ่งเวลาได้ เราควรให้กับลูกให้เต็มที่ได้ใช้ช่วงนี้ .. เชื่อว่า เมื่อพื้นฐานความรักเขาได้รับเต็มที่ เขาจะเติบโตเป็นผู้แบ่งปันที่ดี เคารพตัวเอง และคนรอบข้างได้อย่างมั่นคง
.
.
ใส่ใจ ในเวลาที่ควรใส่ใจ
เพื่อสร้างสายใยที่แนบแน่น
บนพื้นฐานของคำว่า “ครอบครัว” ซึ่งผมเชื่อเสมอว่า พ่อแม่ ก็เป็น”เพื่อนที่เขาสนิทใจ” ได้เช่นกัน

1. กอด และ หอม เขาทุกวัน ... ทำให้ชิน ..ก่อนที่เขาจะไม่กล้าให้เราหอม เมื่อเริ่มโตขึ้น
.
2. สอนเขาด้วยตัวเราเอง ...ก่อนที่สังคมจะมาสั่งสอน
.
3. เป็นที่ปรึกษา เป็นอย่างเพื่อนที่คอยเป็นห่วง มากกว่าที่จะจับผิด ... ก่อนที่เขาจะตัดสินใจไปไว้ใจ คนอื่นนอกบ้าน แทนเรา
.
4. เดินเล่น .. ข้างๆกันทุกวัน ... ก่อนที่เขาจะหันไปเล่นเกมออนไลน์กับเพื่อนในเน็ต
.
5. ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ด้วยกันทุกวัน ... ก่อนที่เขาจะอยากไปทานกับเพื่อนมากกว่า
.
6. ให้ความรักแก่ลูก ..ให้มาก (แต่ไม่ใช่ตามใจและใช้เงิน) ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าเราไม่รักไม่สนใจ และหันไปเติมเต็ม ความรักที่รู้สึกขาดไป ด้วยวิธีอื่นๆที่น่าเป็นห่วง
.

.
.
ที่มา: FB page: เล่นกับลูก
Read More
loading...