แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ featured แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ featured แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โปรตีนนุ่ม CPP คืออะไร และดีต่อทารกอย่างไร

 “นมแม่” คือ นมที่ดีสุดสำหรับเด็กเล็กช่วง 1 ขวบปีแรก และควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้นานที่สุดเท่าทีจะทำได้  แต่เมื่อมีความจำเป็นต้องให้นมผงกับลูก ควรพิจารณาเลือกนมที่มี CPP โปรตีนนุ่ม และ ไขมันที่ย่อยง่าย และอุดมไปด้วยสารอาหารธรรมชาติ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อเสริมพัฒนาการรอบด้านที่ดีให้กับลูกรัก และพัฒนาสมอง เด็กเล็กช่วง 1 ขวบปีแรกกระบวนการย่อยและการดูดซึมยังไม่สมบูรณ์ โปรตีนจากนมที่ลูกดื่มต้องเป็นโปรตีนคุณภาพ มีความนุ่ม ย่อยง่ายสบายท้อง  จากการศึกษาพบว่า โปรตีนนุ่ม ( Casein phosphopeptidesหรือ CPP) เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพ เหมาะสำหรับทารก เรามาทำควารู้จักกับสุดยอดโปรตีน โปรตีนนุ่มCPP กันค่ะ



โปรตีนนุ่ม CPP คืออะไร
โปรตีนนุ่ม หรือ Casein phosphopeptides ตัวย่อ CPP คือ โปรตีนที่มีลักษณะที่อ่อนนุ่ม ย่อยง่าย ช่วยในการดูดซึมเกลือแร่ต่างๆ ที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม เข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพและนำไปใช้ได้ทันที

โปรตีนนุ่ม CPP ดีต่อทารกอย่างไร 
เด็กเล็กช่วง1 ขวบปีแรก ระบบการย่อยและการดูดซึมยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ กระบวนการย่อยและการดูดซึมโปรตีนในนม เมื่ออยู่ในสภาพเป็นกรดในกระเพาะอาหารจะอยู่ในรูปก้อนโปรตีน หรือ Curd ซึ่งเป็นการจับตัวกันหลายๆ โมเลกุลของ เคซีน ซึ่งเมื่อถูกย่อยโดยเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร จะแตกตัวออกเป็นโมเลกุลย่อยๆ คือ Casein phosphopeptides (CPP) ซึ่งจะถูกย่อยต่อไปในลำไส้เล็ก และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายในรูปกรดอะมิโน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายต่อไป เนื่องจากเด็กเล็กช่วง1 ขวบปีแรก ระบบการย่อยและการดูดซึมยังไม่สมบูรณ์เต็มที่หากเด็กได้ดื่มนมที่มีโปรตีนโมเลกุลอัดกันแน่นย่อยยาก จะส่งผลทำให้เด็กไม่สบายท้อง ร้องกวนโยเย ท้องอืด จากนมย่อยยากดูดซึมยาก ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ เด็กดื่มนมที่มีโปรตีนนุ่ม CPP จึงช่วยลดปัญหาอาการไม่สบายท้อง ท้องอืด ท้องผูกได้เป็นอย่างดี

CPP โปรตีนนุ่มหาได้จากไหน
CPP โปรตีนนุ่มพบมากในนมแพะ โดยนมแพะนอกจากจะมี CPP โปรตีนนุ่มที่เพิ่มการดูดซึม แคลเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม สู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว นมแพะยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และนมแพะยังมีระบบสร้างน้ำนมแบบ อะโพไครน์ มี Bioactive Components จากธรรมชาติในปริมาณสูงอีกด้วย



ขอบคุณข้อมูล : mamaexpert
Read More

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

คุณแม่ควรรู้!! ทำไมต้อง “อ่าน” ตั้งแต่ตั้งครรภ์

หลังจากที่เคยโพสเรื่องหนังสือเล่มแรก...ที่แม่ควรอ่านให้ลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ คุณแม่ทั้งหลายอยากรู้มั้ยค่ะว่าทำไมต้อง “อ่าน” ตั้งแต่ตั้งครรภ์  ผลการศึกษาจากงานวิจัยหลายชิ้น สอดคล้องกับความรู้ทางการแพทย์ที่ยืนยันได้ว่า ช่วงเวลาของการเจริญเติบโตทางสมองของมนุษย์นั้นต้องสอดคล้องกันทั้งสมอง จิตวิญญาณ รวมถึงความดีงามซึ่งเราสามารถบ่มเพาะได้ตั้งแต่การตั้งครรภ์



            มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่ามหัศจรรย์ของ “การอ่าน” สามารถปรับเปลี่ยน วิธีคิด และพฤติกรรมของคนเราได้มาก  จากเด็กที่เป็นเด็กเอาแต่ใจ อารมณ์ร้ายให้กลับมาเป็นเด็กที่มีสมาธิ ร่าเริง แจ่มใส   มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีได้อย่างไม่น่าเชื่อทุกอย่างเหล่านี้ควบรวมถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ  เช่นต้นไม้ใบหญ้า สัตว์เลี้ยง สิ่งของ หรือแม้กระทั่งคนรอบข้าง  

            การอ่านตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ถือเป็นสิ่งที่ปลูกฝังเรื่องของ “รักการอ่าน  และนำไปสู่พัฒนาการทางสมองคนมนุษย์ได้ดี  แม่มือใหม่หลายคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ชอบฟังเพลง เล่นเกม หรือดูสารคดี  ซึ่งก็ถือเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการให้แก่ลูกน้อยได้เหมือนกัน  แต่มุมของการอ่านนั้น ถือว่าเราใช้ “อายตนะ” ทั้งภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และภายนอกคือ รูป รส กลิ่น เสียง  ถึงแม้จะใช้อายตนะได้ไม่ครบ แต่ถือว่าเป็นการเรียนรู้ผ่านอายตนะได้ดี และจะสร้างพัฒนาการทางสมองของลูกน้อย

            พ่อแม่บางคนอาจจะไม่ทันคิดว่าทำไมเราต้องอ่านตั้งแต่อยู่ในครรภ์  เพราะการซึมซัมที่จะมีสมาธิและตั้งใจฟังอะไรๆ  รอบข้างนั้นเริ่มต้นได้จากการอ่าน  ถือว่าการอ่านเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พ่อแม่ทุกคู่ควรส่งเสริมให้แก่ลูกน้อย  เพราะนั่นคือก้าวแรกของการที่จะพาลูกน้อยให้เรียนรู้ภาษาได้เป็นอย่างดี............
Read More

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แพทย์สวีเดน-อังกฤษเตรียมทดลองฉีดเซลล์ต้นกำเนิดรักษาโรคให้ทารกในครรภ์

แพทย์จากสวีเดนและอังกฤษเตรียมทำการทดลองทางคลินิกครั้งแรกของโลกในการใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากตัวอ่อนมนุษย์ ฉีดเข้าไปในทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาเพื่อช่วยบรรเทาอาการของโรคกระดูกเปราะแต่กำเนิด


การทดลองครั้งนี้จะเริ่มขึ้นในเดือน ม.ค.ปีหน้า นำโดยสถาบันคาโรลินสกา ของสวีเดน และโรงพยาบาลเกรท ออร์มอนด์ สตรีท ในสหราชอาณาจักร โดยแพทย์จะใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากการยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นกระดูก, กระดูกอ่อน และกล้ามเนื้อที่แข็งแรง มาฉีดให้ทารกในครรภ์ที่มีอายุ 20-34 สัปดาห์ จำนวน 15 คน แล้วจะฉีดเซลล์ต้นกำเนิดดังกล่าวอีกครั้งหลังจากเด็กคลอดออกมา
คาดว่าเซลล์จะช่วยให้กระดูกของทารกเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม จากนั้นแพทย์จะทำการเปรียบเทียบสภาวะการเกิดกระดูกแตกหักกับเด็กอีก 15 คนที่ได้รับการรักษาภายหลังการเกิดเพียงอย่างเดียว และเด็กอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาเลย

ทั้งนี้ โรคกระดูกเปราะแต่กำเนิด ส่งผลกระทบต่อเด็กราว 1 ใน 25,000 คนที่คลอดออกมา และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตเนื่องจากเด็กเกิดมาโดยมีกระดูกที่แตกเปราะหลายจุด ส่วนเด็กที่รอดชีวิตก็จะมีปัญหากระดูกแตกหักได้สูงถึง 15 ครั้งต่อปี, ฟันเปราะบาง มีปัญหาด้านการได้ยิน และการเจริญเติบโต
ดร.เซซิเลีย เยอเตอร์สเตริม จากสถาบันคาโรลินสกา บอกว่า หากการทดลองครั้งนี้สามารถช่วยลดปัญหากระดูกแตกหัก, เสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง และพัฒนาการเจริญเติบโตของผู้ป่วยก็จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างใหญ่หลวง อีกทั้งยังจะช่วยเปิดทางไปสู่การรักษาโรคอื่น ๆ ตั้งแต่ช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ และจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคกล้ามเนื้อและโรคกระดูกอื่น ๆต่อไปในอนาคต
ด้าน ดร.ดัสโก อิลิค ผู้เชี่ยวชาญจากคิงส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอน เตือนว่า การที่ผู้ป่วยโรคกระดูกเปราะแต่กำเนิดแต่ละคนมีอาการของโรคที่หลากหลายและแตกต่างกันมากนั้น อาจทำให้เป็นการยากที่จะพิสูจน์ได้ว่าการรักษาด้วยวิธีนี้มีประสิทธิภาพเพียงใด

ที่มา - bbc.com ผ่าน บีบีซีไทย - BBC Thai
Read More

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อย่าถ่ายรูปทารกน้อยโดยเปิดแฟลช อาจทำให้ทารกเป็นแบบนี้

ทารกวัย 3 เดือน ตาบอดสนิท เนื่องจากถ่ายรูปโดยลืมปิดแฟลช



เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมาเว็บไซต์สื่อนอกเผยเรื่องสุดสลดใจของเด็กทารกน้อยไม่ทราบชื่อวัย 3 เดือน หลังจากเพื่อนของครอบครัวใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายทารกในระยะใกล้เพียงแค่ 25 เซนติเมตรและลืมปิดแฟลช จากนั้นไม่นานนัก พ่อ-แม่ของทารกน้อยรายนี้ ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติกับการมองเห็นของลูกน้อย จึงนำส่งโรงพยาบาลทันที

ภายหลังการตรวจทางแพทย์ระบุว่า ดวงตาของทารกน้อยรายนี้ได้รับความเสียหายแบบถาวรและไม่สามารถศัลยกรรมแก้ไขได้ เนื่องจากแสงแฟลชที่ได้รับในระยะใกล้มีความเข้มของแสงมากจึงทำลายเซลล์บริเวณมาคูลา หรือกลางจอประสาทตา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ตาใช้ในการโฟกัสแสง อีกทั้งบริเวณมาคูลาจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่จนกว่าเด็กจะอายุได้ 4 ขวบ ยิ่งเป็นเด็กทารกจึงมีความบอบบางมาก ดังนั้นความเสียหายที่ทารกน้อยได้รับจึงทำให้ศูนย์เสียการมองเห็นส่วนกลาง เป็นเหตุให้ตาซ้ายสามารถมองเห็นได้น้อยลง ส่วนตาขวานั้นบอดสนิท

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อมูลว่า  การใช้แฟลชถ่ายรูป จะทำให้เด็กทารกตาบอดจริงหรือไม่นั้น ... คำตอบคือ "ไม่จริง"  เนื่องจากจริงๆแล้วเด็กทารกนั้นได้รับการปกป้องจากแสงแฟลชยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก เพราะเด็กๆ จะไม่ค่อยสนใจในการถ่ายรูปและจะไม่จ้องตรงไปที่กล้อง ยิ่งกว่านั้น ดวงตาของเด็กทารกจะมีม่านตาที่แคบกว่าของผู้ใหญ่ และทำให้แสงเข้าไปยังเรติน่าน้อยกว่า แสงแฟลชจากกล้อง ถึงจะถ่ายหลายๆ ครั้ง ก็ไม่ได้ทำอันตรายกับสายตาของเด็ก เพราะถึงมันจะดูเหมือนว่าจ้ามาก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มากไปกว่าแสงแดดธรรมดาเลย

อย่างไรก็ตามถึงแม้แสงแฟลชจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อดวงตาของลูกน้อยมากนัก แต่คุณพ่อคุณแม่ ก็ควรระมัดระวังไว้จะดีกว่านะคะ

ภาพจาก http://kanlaizhou.net
Read More

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สายด่วนคลีนิคนมแม่ ที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้

สายด่วนคลินิกนมแม่ 




รพ.ศิริราช ตึกพระศรี ชั้น 2 ถ.พรานนก บางกอกน้อย กทม. 10700 02-419- 5994-5 ต่อ คลินิกนมแม่

สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ถ.ราชวิถี เขตราชเทวี กทม. 10400 02-354-8945

รพ.รามาธิบดี 270 ถ.พระราม 6 ซ.สูติกรรมพิเศษ เขตราชเทวี กทม. 10400 02-201-2663

รพ.กลาง 514 ถ.หลวง แขวงเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบฯ กทม. 10100 02-221-6141 # 11321

รพ.จุฬาลงกรณ์ ถ.พญาไท เขตปทุมวัน กทม. 10330 02-256-4808

รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง ปทุมธานี 12120 02-926-9604-5,02-926-9199 ต่อ 8907

รพ.นพรัตน์ราชธานี 109 ม.5 ถ.รามอินทรา กม.12 แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กทม. 10230 02-517-4270-9 ต่อ 1486,1450

รพ.ตากสิน 543 ถ.สมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กทม.10600 02-437-0123  ต่อ  1415  (จันทร์–ศุกร์ เวลา 8.00-16.30 น.)

รพ.BNH 9/1 ซ.คอนแวน ถ.สีลม บางรัก กทม. 10500 0-2686-2700

รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ 8 ถ.ตก แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กทม.10120 02-289-7000-3 ต่อ 7134

รพ.เซ็นหลุยส์ 215 ถ.สาธรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กทม. 10120 02-675-5000 ต่อ แผนกเด็กแรกเกิด,OPD  เวลา 7.00-15.00  น.

รพ.เปาโลเมโมเรียล 90/102 ม.4  ซ.เสนานิคม แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กทม.10230 02-271-0227  ต่อ  OPD

รพ.พระมงกุฏเกล้า ถ.ราชวิถี เขตราชวิถี กทม 10400 02-354-7600-28 ต่อ 94044

รพ.พระรามเก้า 99 ถ.พระรามเก้า ห้วยขวาง กทม. 02-248-8020  ต่อ แผนกเนิร์สเซอร์รี่

รพ.ภูมิพล (คลินิกนมแม่) 171 ถ.พหลโยธิน ต.คลองถ. อ.สายไหม กทม. 10220 02-534-7723

รพ.มงกุฎวัฒนะ 34/40 ม. 1 ต.ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม. 10220 02-574-5000-9 ต่อ 1011

รพ.ลาดกระบัง 190/15 ม. 1 ถ.อ่อนนุช ลาดกระบัง แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กทม. 10520 02-326-9995 ต่อ 208

รพ.เลิดสิน 190 ถ.สีลม แขวงศรีเวียง เขตบางรัก กทม. 10500 02-353-9799  ต่อ  9856,9857

รพ.วิชัยยุทธ 71/3 ถ.เศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ฯ 10400 02-618-6201, 02-618-6200 ต่อ 51252-53,51754-55

รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า ถ.ตากสิน อ.ธนบุรี กทม. 10600 02-460-0000 ต่อ 11550

รพ.สมิติเวช 133 สุขุมวิท 49 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. 10110 02-711-8345  อายุไม่เกิน  1  เดือน

รพ.เวชการุณย์รัศมิ์ 48 ม.2 ถ.เลียบวารี แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กทม. 10530 02-543-1307, 02-543-1150  ต่อ  424  (จันทร์,อังคาร,พฤหัส),425-6  (พุธ,ศุกร์,เสาร์,อาทิตย์)

รพ.หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินุธโร อุทิศ 39 ม.4 ถ.เพชรเกษม ซ.เพชรเกษม81 แขวงหนองแขม เขตหนองแขม กทม. 10160 02-429-3575-81 ต่อ  8574,8572

คณะพยาบาลศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 99 ม. 18 ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12121 02-926-9999 #7362

คณะพยาบาลศาสตร์ ม.อัสสัมชัญ ถ.รามคำแหง24 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. 10240 02-300-4543,02-300-4553 ต่อ 3505

คณะพยาบาลศาสตร์ ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 18/18 ถ.บางนา-ตราด กม.18 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 02-312-6300 ต่อ 1235(ทุกวันจันทร์)

วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กทม. 10300 02-241-6500-9 ต่อ 8213 (อ. สุมิตตา  สว่างทุกข์)

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีกทม. 2/1 ถ.พญาไท เขตราชเทวี กทม.10400 0-2354-8247,0-2354-8241-2

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนพรัตน์วชิระ 109/1 ถ.รามอินทรา กม.12 แขวงคันยาว เขตคันนายาว กทม. 10240 02-540-6500-1   ต่อ  242

วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย 1873 พระราม 4 ปทุมวัน กทม. 10330 02-256-4807

วิทยาลัยแพทยศาสตร์  และวชิรพยาบาล ถ.สามเสน ดุสิต กทม. 10300 0-2244-3795


ศูนย์อนามัยที่ 1 บางเขน กทม. 02-521-3064 ต่อ 206

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีพระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี 18120 036-266-170

รพ.ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพฯ 67 ม.7 ถ.รังสิต-นครนายก แขวงองครักษ์ เขตองครักษ์ จ.นครนายก 26120 037-395-085 ต่อ 10819

รพ.พหลพลพยุหเสนา ถ.แสงชูโต  ต.ปากแพรก  อ.เมือง  จ.กาญจนบุรี  71000 034-511-233 ต่อ 6600-01

รพ.พระนครศรีอยุธยา 46/1 ม.4 ถ.อู่ทอง ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา 13000 035-211-888  ต่อ  5402

รพ.บ้านโป่ง ถ.แสงชูโต  อ.บ้านโป่ง  จ.ราชบุรี 70110 032-222-841-46 ต่อ 273

รพ.นครปฐม 196 ถนนเทศา ต. พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม 73000 โทร 034-254-150-4 ต่อ 1018

รพ.ปทุมธานี ถ.ปทุม-ลาดหลุมแก้ว ต.บางปรอก  อ.เมือง  จ.ปทุมธานี 12000 02-598-8888 ต่อ  8908,8849

รพ.เพชรบูรณ์ 203 ถ.สามัคคีชัย ต.ในเมือง  อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์  67000 056-717-600 ต่อ 6500
ศูนย์อนามัยที่ 2 สระบุรี 036-300-830-32 ต่อ 156

ศูนย์อนามัยที่ 4 ราชบุรี 429 ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี 70000 032-310-368-71 ต่อ 2312

รพ.สวนดอกเชียงใหม่ ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพ (คลินิกนมแม่) 053-946-799

รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ คลินิกนมแม่  ชั้น 3 อาคารบุญสมมาร์ติน รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 053-946-799 เวลา 08.00 น. - 20.00 น.

รพ.นครพิงค์ เชียงใหม่ คลีนิคนมแม่ 053-999-200 ต่อ 2217

รพ.อุตรดิตถ์ (สูติกรรมหลังคลอด) 38 ถ.เจษฎาบดินทร์ ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ 53000 055-411-064ต่อ  7126-28

ศูนย์อนามัยที่ 10 เชียงใหม่ 053-272-740 ต่อ 212

ศูนย์อนามัยที่ 8 นครสวรรค์ 056-325-093-5 ต่อ 287

ศูนย์อนามัยที่ 9 พิษณุโลก 055-299-280-2 ต่อ 121

ศูนย์อนามัยที่ 3 ชลบุรี 038-148-165 ต่อ 51

รพ.สมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20110 038-322-157-9  ต่อ  1146

รพ.ตราด 108 ถ.สุขุมวิท ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด 23000 039-511-040  ต่อ  644  (จันทร์-ศุกร์  เวลา  8.30-16.30  น.)

รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี อ.เมือง จ.จันทบุรี  22000 039-324-975ต่อ3458

รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (คลินิคนมแม่) 222 ถ.พิศษฐพยาบาล ต.ท่าตะเภา อ.เมือง จ.ชุมพร 86000 077-503-674   ต่อ 282

รพ.ปัตตานี 2 ถ.หนองจิก ต.สะบารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี 94000 073-335-134-8  ต่อ  273

รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช กลุ่มงานกุมารเวชกรรม รพ.มหาราช ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช 80000 075-340-250 ต่อ 1024

ศูนย์อนามัยที่ 11 นครศรีธรรมราช 075-399-460-4 ต่อ 114
ศูนย์อนามัยที่ 12 ยะลา 073-214-200 ต่อ 139
ศูนย์อนามัยที่ 5 นครราชสีมา 044-305-134   ต่อ  150
ศูนย์อนามัยที่ 6 ขอนแก่น 043-235-902-5 ต่อ 5805
ศูนย์อนามัยที่ 7 อุบลราชธานี 045-288-586-8 ต่อ 319

 คลินิกนมแม่ โรงพยาบาลขอนแก่น รับปรึกษาปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง 043-336789 ต่อ 3764

ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น 123 ถ.มิตรภาพ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40002 043-363-512-13
Read More

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บำรุงสมองของลูกน้อยได้ตั้งแต่ในครรภ์มารดา

ทุกคนต่างชอบเด็กที่มีความฉลาดทั้งด้านการเรียนรู้และด้านอารมณ์ และเด็กฉลาดจะสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ครอบครัว ความฉลาดของเด็กนอกจากความตั้งใจในการเรียนรู้แล้ว สมองของเด็กมีส่วนสำคัญเช่นกัน การบำรุงสมองด้วยอาหารที่มีประโยชน์เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง ยิ่งคุณแม่รีบเลือกสรรอาหารอย่างเหมาะสมต่อพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยในครรภ์แล้ว เมื่อเด็กเติบโตปัญหาหรือภาวะอันตรายที่เกิดกับสมองของเด็กก็ลดลงเช่นกัน ดังนั้นการเลือกอาหารให้เหมาะสมตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ย่อมส่งผลดีกับตัวคุณเองและลูกน้อยในครรภ์..

 อาหารประเภทแรกที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์คือ โปรตีน ยิ่งเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลา มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสมอง หากทารกในครรภ์ได้รับโปรตีนไม่เพียงพอทำให้สมองมีขนาดเล็กผิดปกติ และสำหรับคุณแม่แล้ว โปรตีนเป็นสารอาหารหลักสำหรับการสร้างและเพิ่มขนาดเซลล์ สร้างน้ำนม เพิ่มปริมาตรเลือด สร้างน้ำย่อย สร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สารอาหารที่จำเป็นต่อมาคือ โฟเลต พบมากในตับสัตว์ บล็อกโคลี่ หน่อไม่ฝรั่ง ผักโขม และแคนตาลูป โฟเลตช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท และไขสันหลังของทารกในครรภ์ สมควรที่จะรับประทานตลอดช่วงตั้งครรภ์ เพราะเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการสร้างสารพันธุกรรม และช่วยให้เม็ดเลือดมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น วิตามินบี 2 (พบมากในนม ไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ และโยเกิร์ต) จะช่วยในการเจริบเติบโต และพัฒนาสมองของทารก ถ้าได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้สมองของทารกมีขนาดเล็ก ส่วนคาร์โบไฮเดรต เป็นอาหารที่จำเป็นต่อสมองของลูก และให้พลังงานต่อร่างกาย คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ควรทาน เพราะอาการแพ้จากการตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนไม่สมดุล คาร์โบไฮเดรตจะเป็นสารอาหารที่กินง่าย ย่อยง่าย เสริมพลังให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ง่าย สารอาหารที่สำคัญและช่วยบำรุงสมองของลูกตั้งแต่ในครรภ์นั้น ยังมีธาตุเหล็ก ไอโอดีน โอเมก้า 3 วิตามินบี 8 และบี 12 หากคุณเลือกอาหารอย่างเหมาะสมตามคู่มือคุณแม่ หรือขอคำปรึกษาจากแพทย์แล้ว ทารกในครรภ์ย่อมได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ต่อพัฒนาการทางร่างกาย และพัฒนาการสมอง เพียงแค่คุณปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่เสี่ยงจะส่งผลต่อสมองของทารกจะลดลง
Read More

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

5 ผลไม้ช่วยให้ลูกกินยามเช้าเพื่อสุขภาพดี

มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นมือที่ให้ประโยชน์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะช่วยเรื่องความจำ ควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงทั้ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง  เป็นต้น ยิ่งหากเติมอาหารดีๆ ในยามเช้าให้แก่ลูกๆ ในตอนเช้าแล้วจะช่วยมีสุขภาพที่ดีมากขึ้นเลยล่ะ



 
Read More

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

เมื่อลูกดื้อเวลาออกไปนอกบ้าน พ่อแม่ควรจัดการอย่างไร

การพาลูกออกไปนอกบ้านในวัยที่กำลังเติบโต และซุกซนเต็มที่นับว่าเป็นภาระใหญ่หลวงของพ่อแม่ที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งถ้าลูกทำตัวดีเชื่อฟัง ไม่กรีดร้อง วิ่งวุ่นให้พ่อแม่กลุ้มใจก็ดีไป แต่เมื่อไหร่ที่ลูกเกิดอาการน๊อตหลุดขึ้นมา พ่อแม่จะมีวิธีการรับมือกับทั้งลูกและสังคม ผู้คนรอบข้างอย่างไรบ้างมาดูกันค่ะ


ถ้าลูกอยู่ในวัยที่เริ่มรู้เรื่องแล้ว ต้องเตรียมความพร้อมสอนเรื่องระเบียบวินัยกันตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ก่อนที่จะพาลูกออกไปในที่สาธารณะ การสอนให้เด็กมีระเบียบวินัย สอนให้เด็กเข้าใจได้ง่าย เพราะบางครั้งเด็กยังไม่เข้าใจว่าการเล่นของตนไม่ถูกต้องอย่างไร

ดูความพร้อมของลูกว่าพร้อมที่จะออกไปนอกบ้าน หรือที่สาธารณะหรือไม่ ถ้าพ่อแม่ยังไม่สามารถควบคุมลูกได้ ต้องพยายามพาเด็กออกไปข้างนอกให้น้อย หรือเท่าที่จำเป็น จนกว่าจะแน่ใจว่าสามารถควบคุมลูกได้

พ่อแม่ต้องคำนึงถึงสิทธิคนอื่นในที่สาธารณะด้วย เราอาจจะมองว่าเด็กงอแงเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ หรือลุกลามจนคนทำให้คนอื่นเดือดร้อน ต้องพาลูกออกไปจากสถานการณ์นั้นให้ลูกสงบก่อน

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นไม่ใช่เวลาที่จะมาสอนลูกตรงนั้นแล้ว หลายครั้งที่ลูกดื้อ ซน พ่อแม่ก็ยิ่งพยายามสอน พยายามดุลูก เพื่อแสดงให้คนรอบข้างเห็นว่าตัวเองได้ทำหน้าที่แล้ว แต่ลูกไม่ฟังเอง ช่วยไม่ได้ การทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นค่ะ

เด็กแต่ละคนจะมีวิธีการรับมือที่ได้ผลแตกต่างกันไป ตามลักษณะนิสัย เช่น บางคนหากเข้าไปกอดอาการก็จะสงบลง หรือพยายามเบี่ยงประเด็นให้ลูกสนใจอย่างอื่นจนลืมเรื่องที่อาละวาดไป ถ้าลูกวีนในร้านอาหาร ลองอุ้มพาเขาไปดูปลาหรือกุ้งเป็นๆ ที่ว่ายน้ำอยู่หน้าร้าน เบี่ยงเบนความสนใจ รับรองว่าลูกจะสงบลงได้อย่างรวดเร็ว หรือพ่อแม่บางคนใช้วิธีวางเฉยให้ลูกร้องไปให้พอ โดยพาไปในที่ที่ไม่รบกวนคนอื่น เช่น ลานจอดรถห้าง หรืออุ้มเข้าไปในห้องนอน ร้องเสร็จแล้วค่อยคุยกัน

ก่อนพาลูกออกไปจากสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ พ่อแม่ควรขอโทษต่อคนรอบข้างที่ได้รับความเดือดร้อนด้วย

คนส่วนใหญ่เข้าใจธรรมชาติของเด็กว่า ดื้อ ซน เป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ต้องการคือความรับผิดชอบ และคำขอโทษจากพ่อแม่เท่านั้นค่ะ หลายครั้งทีคนไม่พอใจคือ การนิ่งเฉย และไม่รับผิดชอบของพ่อแม่นั่นเองค่ะ ดังนั้นเอ่ยคำขอโทษด้วยความจริงใจ เมื่อลูกคุณทำความเดือดร้อนให้คนอื่น นอกจากจะผ่อนคลายให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นแบบอย่างในการสอนให้ลูกอีกด้วยค่ะ

เมื่ออยู่ในสถานการณ์หรือพื้นที่ที่ไม่สามารถพาลูกออกไปได้ เช่น บนเครื่องบิน เรามีเทคนิคมาฝากกันค่ะ กับการพาลูกขึ้นเครื่องบินอย่างไร

ที่มา : momypedia
Read More
loading...